10 อันดับเมืองที่บ้านมีราคาแพงจนคนทั่วไปไม่สามารถซื้อได้อีกต่อไปแล้ว
โดยPPTV Online
เผยแพร่ 17 มิ.ย. 2567 ,12:58น.
แชร์ :คัดลอกลิงก์
รายงานฉบับใหม่เผย 10 อันดับ “เมืองที่คนทั่วไปไม่สามารถซื้อบ้านได้อีกต่อไปแล้ว” จากราคาที่สูงและพื้นที่การสร้างที่น้อยลง
ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา “การซื้อบ้าน” กลายเป็นเรื่องยากมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยราคาที่พุ่งแรง รวมถึงพื้นที่สร้างบ้านที่มีน้อยลง และปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นทั่วทั้งโลก
ล่าสุดรายงานจาก Demographia International Housing Affordability Report ซึ่งติดตามราคาบ้านมาเป็นเวลา 20 ปี ได้เผยแพร่รายงานฉบับใหม่ประจำปี 2024 โดยสรุปความรู้สึกของผู้มีโอกาสเป็นผู้ซื้อบ้านโดยทั่วไปจำนวนมาก และจัดประเภทเมืองตามโอกาสที่สามารถซื้อบ้านได้
คอนเทนต์แนะนำ

สหรัฐฯ สั่งสอบ “เซาท์เวสต์แอร์ไลน์ส” บินเหนือผิวมหาสมุทรเพียง 120 เมตร

หลายชาติไม่ลงนามแถลงการณ์ประชุมสุดยอดสันติภาพยูเครน รวมถึงไทยด้วย

ยิมเกาหลีใต้สั่งแบน “มนุษย์ป้า” หลังประพฤติตัวไม่เหมาะสม-ขโมยของ

รายงานนี้รวบรวมข้อมูลโดยนักวิจัยจากศูนย์ประชากรและนโยบายที่มหาวิทยาลัยแชปแมนในแคลิฟอร์เนีย และศูนย์นโยบายสาธารณะชายแดน ซึ่งเป็นองค์กรคลังสมองด้านนโยบายสาธารณะอิสระในแคนาดา
นักวิจัยแยกเมืองออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ เมืองที่สามารถซื้อบ้านได้, เมืองที่ไม่สามารถซื้อบ้านได้ในระดับปานกลาง, เมืองที่ไม่สามารถซื้อบ้านได้อย่างจริงจัง, เมืองที่ไม่สามารถซื้อบ้านได้อย่างรุนแรง และ “เมืองที่การซื้อบ้านเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
รายงานดังกล่าวทำการสำรวจ 94 เมืองใน 8 ประเทศ โดยรายงานจะวัดความสามารถในการซื้อบ้านโดยใช้อัตราส่วนราคาบ้านต่อรายได้ คือราคาบ้านเฉลี่ยหารด้วยรายได้เฉลี่ยของครัวเรือน
จนพบว่า 10 อันดับเมืองที่ไม่สามารถซื้อบ้านได้อีกต่อไปแล้ว ประกอบด้วย
- ฮ่องกง ประเทศจีน
- ซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย
- แวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย แคนาดา
- ซานโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ
- ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ
- โฮนูลูลู รัฐฮาวาย สหรัฐฯ
- เมลเบิร์น รัฐวิกตอเรีย ออสเตรเลีย
- ซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ / แอดิเลด รัฐเซาท์ออสเตรเลีย ออสเตรเลีย
- ซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ
- โทรอนโต รัฐออนแทรีโอ แคนาดา
ทั้งนี้ จากรายงานนี้ไม่ได้หมายความว่า ราคาที่พักอาศัยในฮ่องกงมีราคาแพงที่สุด แต่ผู้ที่มีศักยภาพในการซื้อบ้านรู้สึกว่า การซื้อบ้านหรือที่พักอาศัยในเมืองนี้เป็นเรื่องยากและต้องใช้เงินมากกว่าเมื่อก่อน
ถึงอย่างนั้น ฮ่องกงมีอัตราการเป็นเจ้าของบ้านต่ำที่สุดในบรรดาเมืองทั้งหมดที่สำรวจ โดยอยู่ที่เพียง 51% เท่านั้นเมื่อเทียบกับอีกเมืองหลักในเอเชียอย่างสิงคโปร์ ซึ่งมีอัตราการเป็นเจ้าของบ้านสูงถึง 89% เนื่องจากความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่ยาวนานหลายทศวรรษในการผลักดันโครงการบ้านรัฐจัดสรร (Public Housing)
ที่น่าสังเกตคือ เมืองในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ ติดอยู่ใน Top 10 ถึง 4 เมือง ด้วยกัน ขณะที่โฮโนลูลูของฮาวายอยู่ในอันดับที่ 6 ส่วนออสเตรเลียมีถึง 3 เมืองที่ติดอันดับเข้ามา คือซิดนีย์ เมลเบิร์นในรัฐวิกตอเรีย และเมืองแอดิเลด
รายงานระบุว่า การเพิ่มขึ้นของการทำงานจากที่บ้านในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และ “ความต้องการที่ตื่นตระหนก” สำหรับบ้านที่อยู่นอกใจกลางเมืองซึ่งมีพื้นที่ภายนอกมากขึ้น ทำให้ราคาบ้านสูงขึ้น
นอกจากนี้ รายงานประเมินว่า ราคาที่สูงขึ้นเป็นผลมาจากนโยบายการใช้ที่ดิน ซึ่งรวมถึง “การจำกัดพื้นที่ในเมือง” ซึ่งเป็นการวางแผนประเภทหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อหยุดการขยายตัวของเมือง
“ชนชั้นกลางตกอยู่ภายใต้การปิดล้อม สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดิน เนื่องจากที่ดินได้รับการจัดสรรเพื่อลดการขยายตัวของเมือง อุปสงค์ที่มากเกินไปส่วนทางอุปทานทำให้ราคาสูงขึ้น” รายงานกล่าว
ราคายังถูกผลักดันให้สูงขึ้นไปอีกเนื่องจากนักลงทุนกระโดดเข้าสู่ตลาดเพื่อเล็งทำกำไร
สำหรับผู้ที่ไม่สามารถรอการเปลี่ยนแปลงนโยบายหรืออุปสงค์ที่ลดลง รายงานยังระบุเมืองที่มีค่าครองชีพที่ถูกที่สุดจาก 94 เมืองที่สำรวจทั่วโลก ได้แก่ พิตส์เบิร์ก โรเชสเตอร์ และเซนต์หลุยส์ ในสหรัฐฯ / เอดมันตันและคาลการีในแคนาดา / แบล็กพูล แลงคาเชียร์ และกลาสโกว์ ในสหราชอาณาจักร / เพิร์ธและบริสเบนในออสเตรเลีย
อ่านรายงานฉบับเต็ม ที่นี่
เรียบเรียงจาก CNN