BMW M5 CS นับเป็นยนตรกรรม M Car ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่มาพร้อมการปรับแต่งรายละเอียดอันโดดเด่นด้วยเอกสิทธิ์เฉพาะ และการผลิตที่มีจำนวนจำกัดซึ่งความพิเศษของ BMW M5 CS นั้นเริ่มตั้งแต่การลดน้ำหนักด้วยวัสดุ CFRP (Carbon Fiber Reinforced Plastic) ในส่วนหลังคา, ฝากระโปรงหน้าพร้อมช่องระบายอากาศ, Splitter ใต้กันชนหน้า, กระจกมองข้าง, ชุดสปอยเลอร์ และดิฟฟิวเซอร์ด้านหลัง ไปจนถึงฝาครอบเครื่องยนต์ ที่เพิ่มเติมด้วยความโดดเด่นจากตราสัญลักษณ์ M พร้อมกับตกแต่งด้วยเส้นสายลวดลาย M
ตามด้วยการเพิ่มความสะดุดตาจากโทนสีทอง Gold Bronze ในส่วนของกรอบกระจังหน้า BMW Kidney Grille, โลโก้ตัวอักษร M5 CS, ล้ออัลลอยด์ Forge ขนาด 20 นิ้ว เสริมด้วยความล้ำสมัยจากเทคโนโลยีชุดไฟหน้าแบบ Adaptive LED พร้อมชุดไฟ Daytime LED รูปทรง L-Shaped ที่สะดุดตาด้วยโทนสีเหลืออันมีแรงบันดาลใจมาจากรถแข่ง และปิดท้ายด้วยการสวมชุดแต่ง BWM Individual Shadowlin มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ภายในห้องโดยสารมากับความเร้าใจด้วยโทนสีดำ-แดง รับกับงานดีไซน์ของเบาะนั่งแบบ M Carbon Sport Seats ในคู่หน้า และเบาะนั่งแบบ Individual Bucket Seats ทั้ง 2 ตำแหน่งในด้านหลัง หุ้มด้วยวัสดุหนัง Black Merino ตัดด้วยความโดดเด่นจากโทนสีแดง Mugello Red พร้อมด้วยการติดตั้งเพลทโลหะสัญลักษณ์ M5 ให้กับพนักพิงเบาะคู่หน้า และการปักเย็บเป็นรูปสนาม Nurburgring’s Nordschleife ไว้บนพนักพิงศรีษะทุกตำแหน่ง เพื่อสื่อถึงสถานที่ในการพัฒนา M5 CS
พร้อมด้วยการเพิ่มความสปอร์ตด้วย ชุดพวงมาลัย M Alcantara Steering Wheel พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์, ผ้าหลังคาที่เลือกใช้วัสดุ Alcantara, สายเข็มขัดนิรภัยตกแต่งด้วยโทนสี BMW M Tri-Color, พรมพื้น M Floor Mats ที่รับกับชุดกาบบันไดประทับอักษร M5 CS ไปจนถึงการปักอักษร CS ที่กึ่งกลางเบาะคู่หลัง
ความร้ายกาจของ M5 CS เกิดขึ้นจากขุมพลังเบนซินรหัส S63 แบบ V8 สูบ พิกัด 4.4 ลิตร เพิ่มพลังด้วยระบบอัดอากาศ M TwinPower Turbo สร้างเรี่ยวแรงสูงสุดได้ถึง 635 แรงม้า หรือเพิ่มขึ้นอีกราว 10 แรงม้าเมื่อเทียบกับรุ่น Competition พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุดราว 750 นิวตันเมตรที่รอบเครื่องยนต์กว้างกว่ารุ่น Competition เช่นกัน
ระบบส่งกำลังมากับชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด M Steptronic พร้อม Drivelogic และชุด M Driver’s Package สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ M xDrive เสริมด้วยชุดเฟืองท้าย Active M Differential และฟังค์ชั่นปรับเปลี่ยนระบบขับเคลื่อน 3 รูปแบบ คือ 4WD, 4WD Sport และ 2WD ภายใต้ควบคุมเสถียรภาพจากระบบ Dynamic Stability Control ที่เลือกได้ 3 ระดับ คือ DSC On, MDM (M Dynamic Mode) และ DSC Off ทั้งยังเพิ่มความเร้าใจจากระบบไอเสียที่ปรับเสียงได้ตามโหมดการขับขี่ เช่น Efficient, Sport และ Sport+ พร้อมกับที่มีอัตราเร่งอันดุเดือดด้วยตัวเลข 0-60 ไมล์/ชม. ในเวลาเพียง 2.9 วินาที หรือเร็วกว่ารุ่น Competition ถึง 0.2 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดนั้นอยู่ที่ 190 ไมล์/ชม.
ระบบช่วงล่างยังคงใช้พื้นฐานจาก M5 Competition แต่ได้รับการปรับแต่งเพื่อรองรับสมรรถนะ เช่น ความแข็งของชุดสปริงที่เพิ่มขึ้น 10% และความสูงที่ลดลง 0.2 นิ้ว ตามด้วยการเพิ่มแคมเบอร์ลบในด้านหน้า, เพิ่มความแข็งให้กับเหล็กกันโคลง, จุดข้อต่อ (Link) และ Ball-Joint ในด้านหลัง โดยจะมาพร้อมกับระบบ Dynamic Damper Control ทำงานร่วมกับระบบพวงมาลัย M Servotronic Steering ที่ปรับเปลี่ยนบุคลิกได้จากโหมด Comfort, Sport และ Sport+
ก่อนจะเพิ่มความมั่นใจเข้าไปอีกขั้นด้วยล้ออัลลอยด์ที่เลือกจับคู่กับยางสมรรถนะสูงอย่าง Pirelli P Zero Corsa ขนาด 275/35R20 ในด้านหน้า และขนาด 285/35R20 ในด้านหลัง รวมถึงระบบเบรกที่ติดตั้งแบบ M Carbon Ceramic มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และโดดเด่นด้วยชุดคาลิปเปอร์เบรก 6 Pot โทนสีแดง พร้อมโลโก้ M ในด้านหน้าและแบบ Single Pot ในด้านหลัง
AM: ต้นแบบ Mono R – Super Car จากอังกฤษ
By Sivadee / August 28, 2019
Reads: 1,036
ต้นแบบที่อาจใช้เวลาในการผลิตนานนับสัปดาห์จึงจะสำเร็จสามารถเสร็จสมบูรณ์ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงเป็นไปได้อย่างไร BAC ผู้ผลิตยานยนต์จากอังกฤษพาเราไปทำความเข้าใจ Impact/แรงกระทบ ต่อภาคการผลิตของการผลิตแบบเติมเนื้อสาร หรือ AM ต่อกระบวนการผลิตที่ปีนี้ยังมาแรงแซงทางโค้งในโลกของส่วนประกอบและอุตสาหกรรมการผลิต แบบเน้นๆ ชัดๆ
Briggs Automotive Company หรือ BAC ผู้ผลิตของอังกฤษที่เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เปิดตัวซูเปอร์คาร์ต้นแบบ Mono R ซึ่ง Stratasys เปิดเผยว่า อิมแพคของ AM ส่งผลต่อการออกแบบและการผลิตของซูเปอร์คาร์รุ่นล่าสุดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เมื่อต้องเผชิญกับความล่าช้าที่เป็นอันตรายต่อกระบวนการออกแบบในส่วนสำคัญอย่าง airbox ส่งผลให้ทีมหันไปใช้ Stratasys FDM การผลิตแบบเติมเนื้อสารของ Stratasys เพื่อผลิตรถต้นแบบที่ทำงานได้อย่างสมบูรณ์
Mono R มีน้ำหนักเพียง 555 กิโลกรัม และเป็น production car รายแรกของโลกที่รวมการใช้คาร์บอนไฟเบอร์ที่เสริมกราฟีน (graphene-enhanced carbon fibre) เข้าไปในทุกส่วนของ body panel ความท้าทายอย่างหนึ่งคือการออกแบบและการทดสอบช่องลมเข้า (Air Intake) ของ Mono R ซึ่งจำเป็นสำหรับระบบระบายความร้อนและสมรรถนะบนถนนของรถยนต์ ซึ่งส่งผลให้ Airbox มีรูปทรงที่ซับซ้อนและไม่เหมือนใคร ส่วนสุดท้ายต้องผลิตด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด ด้วยดีมานด์ที่เยอะและเข้มระดับนี้ หมายความว่าการผลิตรถต้นแบบโดยใช้วิธีการแบบดั้งเดิมจะกลายเป็นอุปสรรคชิ้นโตสำหรับทีม

“ระยะเวลาในการผลิตต้นแบบหนึ่งชิ้นของ airbox หากใช้วิธีการขึ้นรูปแบบดั้งเดิมต้องใช้เวลาเกินสองสัปดาห์ หากมีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นกับต้นแบบที่ผลิตขึ้นมา การทำซ้ำในงานออกแบบก็จะเพิ่มเวลาขึ้นอีกเป็นสองเท่า นี่เป็นความล่าช้าที่เราไม่สามารถจ่ายได้” Ian Briggs ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ BAC อธิบาย
ทีมที่ BAC หันไปใช้การผลิตแบบเติมเนื้อสาร หรือ AM เพื่อแก้ปัญหาและขอความช่วยเหลือจาก Stratasys ซึ่งเป็น platinum partner ในสหราชอาณาจักรของ Tri Platinum 3D ด้วยการใช้ Stratasys F900 Production 3D Printer ทีม BAC สามารถผลิต airbox ได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง จากนั้นจึงติดตั้งกับรถยนต์ ก่อนดำเนินการทดสอบตามขั้นตอนเพื่อประเมินการออกแบบชิ้นส่วนนั้นๆ และประสิทธิภาพการใช้งาน
“การเข้าถึง Nylon 12CF เสริมคาร์บอนไฟเบอร์นั้นเป็นส่วนสำคัญสำหรับกระบวนการพัฒนานี้ ต้นแบบนั้นมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับที่เราได้เคยผลิตต้นแบบด้วยพลาสติกเสริมคาร์บอนไฟเบอร์ที่ทำจากแม่พิมพ์ นอกจากนี้ยังทนต่อการทดสอบบนแทร็กอย่างง่ายดาย” Briggs อธิบาย
วันนี้ทีมที่ BAC ได้เปลี่ยนความคิดในการออกแบบโดยมี AM อยู่ในใจ
“การพัฒนา Mono R ต้องการความแม่นยำสูงสุด AM เป็นวิธีการที่เยี่ยมยอด นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ BAC เราพบว่า AM เป็นวิธีที่ช่วยทีมออกแบบทำให้เราสามารถขยายศักยภาพในอุตสาหกรรมของเราต่อไปได้” Briggs สรุป




